ลักษณะของจิต
(ธรรมะโดยพระครูโพธิธรรมประภาส หรือพระอาจารย์เชือน ปภัสสโร วัดประชาสันติ จังหวัดพังงา)
จิตของพวกเรานี้เรารู้ไหมว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร จิตนี้มีลักษณะเป็นกลางๆ เฉยๆ คุณลองสูดหายใจเข้าให้เต็มที่ อัดให้เต็มปอด แล้วกลั้นไว้สักครู่ นั่นแหละเขาเรียกว่าจิต มันมีลักษณะไม่เป็นหญิง ไม่เป็นชาย ไม่เป็นพระ ไม่เป็นฆราวาส ไม่ชั่ว ไม่ดี ไม่เป็นสีดำ ไม่เป็นสีขาว ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้นความเป็นหญิง ชาย
ส่วนความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นอาการของใจ เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ส่วนตัวจิตมันอยู่เฉยๆ ถ้าอุปมาก็เหมือนกับพระจันทร์ จิตเราก็เหมือนกับดวงจันทร์นั่นแหละ จิตปราศจากกิเลสก็เหมือนกับพระจันทร์ที่เต็มดวง ปราศจากเมฆมาบดบัง เมื่อมีเมฆมาบดบังก็เหมือนมีกิเลส มีอาการของใจมาครอบงำใจไว้ ทำให้เราหาจิตไม่เจอ แล้วจิตเรามันก็ชอบหลงอารมณ์ ของใจ หลงอาการของมัน อันนี้แหละที่เราต้องเอาความหลงตัวเองนี้ออกมาจากจิตให้ได้ เพื่อค้นหาจิตเราให้เจอ
ดวงจิตของเรานี้มันไม่ได้แตกดับ มันคงอยู่ตลอดไป ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว แต่ดวงจิตก็ยังคงอยู่ ถ้าทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นก็จะไปแต่งธาตุขันธ์ใหม่ให้ดวงจิตอาศัย ทำมาดีเขาก็แต่งให้ดี ทำมาไม่ดีมันก็ไม่สมบูรณ์ แล้วจิตก็เข้าไปอยู่ ทำกรรมไปเรื่อยจนตายแล้วจิตก็ออกจากร่างอีก นี่เป็นวังวนอยู่อย่างนี้นะ เกิดแล้วก็ออกจากร่างอย่างนี้เรื่อยไป แต่ทีนี้จิตของพระอรหันต์เป็นอย่างไรล่ะ ดวงจิตของพระอรหันต์เมื่อแตกตายทำลายขันธ์ไปแล้วจะไม่เที่ยวไปเกิดอีกตามกระแสนะ เป็นดวงจิตทวนกระแส ไม่ต้องไปเกิดอยู่อีกต่อไป แต่ก็ไม่แตกดับไปไหนหรอกนะ ดวงจิตยังคงอยู่ ไม่สูญหาย แต่ทีนี้ไปอยู่ที่ไหนล่ะ ไปอยู่ในที่ไกลจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย อยู่ไกลออกไป ไม่มามัวหมองกับกิเลสกับเรื่องของโลกอีก ไม่ต้องมามัวเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก ยังคงอยู่เป็นอนัตตาจิตอย่างเดียว
(ปกติก่อนฉันเช้า ก่อนที่พระจะพิจารณาอาหารในบาตร ท่านพระอาจารย์ก็จะถือโอกาสอบรมญาติโยมไปด้วย ให้ญาติโยมรู้จักนั่งให้สงบ ท่านจะกล่าวว่าเอาแหละนะ เรามานั่งกันสักนิดแหละนะ นั่งสบายๆ หลับตาดูจิตของพวกเราให้สติคอยตามความรู้สึกของใจ ถ้ามาวัดแล้วไม่ได้มาดูใจกันนี่ ว่าไปแล้วก็เหมือนกับเอาข้าวมาให้พระกินอย่างเดียวเท่านั้น ประโยชน์ก็ได้อยู่แค่นั้น แต่ทีนี้ถ้ามาแล้วได้มานั่งดูใจ สำรวจใจของพวกเรานี่ก็จะได้บุญเพิ่มขึ้นไปอีก แล้วจะเอาอะไรดูใจล่ะ เพราะใจมันเป็นนามธรรม ก็ต้องใช้สตินี่แหละดูใจ เพราะสติก็นามธรรมเหมือนกัน สติเกิดพร้อมกับใจ แล้วก็ดับพร้อมกับใจ อยู่รวมกับใจมาตลอด ไม่ห่างกันเลย แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน เป็นคนละอย่างกันแต่อยู่ด้วยกัน ตอนนี้ถ้าเราหลับตาแล้วสามารถที่จะหยุดความคิดความรู้สึกของใจได้แล้วคือหยุดสังขารได้แล้วนี่ เราก็จะเห็นนะว่าใจเป็นอย่างไร เบามั้ย สบายมั้ย สุขมั้ยนี่เราจะเห็น สังขารนี่อย่าคิดว่าเป็นตัวจิตนะ ไม่ใช่ตัวจิต แต่สังขารคือการปรุงแต่ง คืออาการของใจ ไม่ใช่ตัวจิต อันนี้แหละที่จิตมันชอบหลง มันชอบหลงอาการของมัน จิตมันหลงความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นของใจ
เอาแหละนะ ให้ตั้งอกตั้งใจกัน อย่าไปคิดว่าเป็นการภาวนา พูดถึงคำว่าภาวนาแล้ว ญาติโยมกลัวกัน เพราะฟังดูเหมือนกับรู้สึกว่า เป็นคำโบราณ อันนี้ไม่ใช่นะ ไม่ต้องกลัว แค่มาดูจิต สำรวจจิตของเรากัน จนเมื่อพระสงฆ์พิจารณาอาหารจนเสร็จ ท่านก็จะให้โอวาทอีกทีว่า เห็นไหม นั่งแล้วมันสบาย มันสงบ แล้วท่านก็เชิญญาติโยมให้ร่วมกันรับประทานอาหาร)
คัดลอกมาจากหนังสือ…นานาสาระธรรม
เรียบเรียงข้อมูลโดย…นายกวิน ตันทวีวงศ์ (จากธรรมะที่ได้รับฟังมา และรวบรวมไว้ในภายหลัง)